-ชุมชน-สังคมพม.

พม.จับมือ UNDP-6สมาคมช่างเสริมสวย ช่วย1,000 ร้านบาร์เบอร์-ซาลอนขนาดเล็ก ฝ่าวิกฤติโควิด-19

กทม.(24ก.ค.2563) ที่ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดแถลงข่าว “โครงการช่างผมอุ่นใจ” โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการแถลง พร้อมด้วย นายเรอโน เมเเยร์ ผู้เเทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (United Nations Development Programme หรือ UNDP) และ นายณรงค์ ศรีเกรียงทอง ประธานสมาพันธ์เครือข่ายช่างผมเสริมสวยและความงามนานาชาติ

นายจุติ กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ส่งผลกระทบต่อประเทศและประชาชนได้รับความเดือดร้อนในวงกว้าง รวมทั้งสถานประกอบการจำนวนมากที่ต้องหยุดกิจการชั่วคราวหรือปิดกิจการลง และเมื่อสถานการณ์ดังกล่าวได้คลี่คลายลง ทุกคนยังคงต้องระมัดระวังพฤติกรรมและการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้เกิดพฤติกรรมแบบใหม่หรือที่เรียกว่าพฤติกรรมในยุค New Normal คือ ปรากฏการณ์ “ความปรกติใหม่ ฐานวิถีชีวิตใหม่” ซึ่งทุกคนในสังคมจำเป็นต้องปรับตัว สำหรับภาคธุรกิจนั้น พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคจะส่งผลกระทบต่ออาชีพแบบดั้งเดิม จนกระทั่งทำให้ถูกลดทอน หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบไปในที่สุด ซึ่งธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง คือ กิจการร้านเสริมสวย ที่ต้องปรับรูปแบบบริการ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย รวมถึงการที่ต้องจัดหาวัสดุอุปกรณ์ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ส่งผลให้ต้นทุนการประกอบกิจการเพิ่มมากขึ้น

นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของผลกระทบดังกล่าว จึงได้ดำเนิน “โครงการช่างผมอุ่นใจ” ร่วมกับ UNDP และสมาคมช่างผมเสริมสวย 6 สมาคม เพื่อช่วยเหลือเจ้าของร้านบาร์เบอร์และร้านซาลอนขนาดเล็ก (จำนวน 1-3 เก้าอี้) ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อสูงที่สุด (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ก.ค. 63) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต นนทบุรี ยะลา สมุทรปราการ และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ รวมจำนวน 1,000 ร้าน ให้สามารถดำเนินกิจการได้อย่างปลอดภัยตามมาตรการผ่อนปรนของรัฐบาล โดยปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยของร้านบาร์เบอร์และซาลอน

ด้าน นายเรอโน เมเเยร์ กล่าวว่า กิจการร้านเสริมสวยได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 และมาตรการปิดเมือง เนื่องจากร้านบาร์เบอร์และซาลอนต้องปิดทั้งหมด โดยเฉพาะร้านขนาดเล็กที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ภายหลังจากมาตรการผ่อนปรนกิจการและกิจกรรม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ที่ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งกลับมาเปิดร้านอีกครั้ง ในการนี้ UNDP จึงได้ร่วมกับกระทรวง พม. และสมาคม ช่างผมและเสริมสวยมืออาชีพ ขับเคลื่อน “โครงการช่างผมอุ่นใจ” เพื่อช่วยเหลือช่างบาร์เบอร์และช่างซาลอนในร้านขนาดเล็กให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจด้วยความเชื่อมั่นในการรักษามาตรฐานสูงสุดด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย ทั้งสำหรับลูกค้าและผู้ประกอบการร้าน

สำหรับ “โครงการช่างผมอุ่นใจ” มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเจ้าของร้านบาร์เบอร์และร้านซาลอนขนาดเล็ก (จำนวน 1-3 เก้าอี้) ทั้งนี้ ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครผ่านช่องทาง https://drive.google.com/drive/mobile/folders/1ECP0wgay6Vh3HyXpyhTDdwCvY-Qk2wxp?usp=sharing ทาง http://www.dwf.go.th/Content/View/10705 หรือแฟนเพจ facebook กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว https://www.facebook.com/367383946683881/posts/3096982927057289/?d=n
ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2563 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-6425055-6

ผู้สมัครทั้ง 1,000 ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้เข้าร่วม 3 กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ 1) เรียนรู้การป้องกัน การใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัย และรักษาสุขอนามัย รวมถึงเทคนิคการทำผม 2) ทำบททดสอบในแต่ละบทเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด และ 3) รับมอบประกาศนียบัตรและถุงอุปกรณ์ช่างผมอุ่นใจ ร้านละ 1 ชุด/คน (อุปกรณ์ช่างผมอุ่นใจ ประกอบด้วย 1) เครื่องอบฆ่าเชื้อ UV Sterilizer อุปกรณ์ทำผม 2) เครื่องวัดอุณหภูมิ 3) หน้ากากผ้า 4) เจลแอลกอฮอล์ 5) หน้ากาก face shield 6) ถุงมือ และ 7) ถุงผ้าช่างผมอุ่นใจ

โดยแบ่งออกเป็น 3 รุ่น ดังนี้ รุ่นที่ 1 รับสมัครจำนวน 100 คน/ร้านค้า (จากทั่วประเทศ) ผู้สมัครจะต้องเข้ารับการอบรมหลักสูตรช่างผมอุ่นใจกับอาจารย์ด้านช่างผมและเสริมสวย ในวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยจะมีพิธีมอบเกียรติบัตร พร้อมถุงช่างผมอุ่นใจ รุ่นที่ 2 รับสมัครจำนวน 680 คน/ร้าน (จากกรุงเทพมหานคร ภูเก็ต นนทบุรี ยะลา และสมุทรปราการ) ผู้สมัครต้องเรียนรู้และทดสอบด้วยตนเองผ่านทางออนไลน์ รุ่นที่ 3 รับสมัครจำนวน 220 คน/ร้าน (จากทุกจังหวัด ยกเว้น 5 จังหวัดในกลุ่มที่ 2) ผู้สมัครต้องเรียนรู้และทดสอบ ด้วยตนเองผ่านทางออนไลน์