-Economics

เตือนดังๆ..แล้งจ่อลามค่อนประเทศ!!

  สทนช.ประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดน้ําเพิ่ม…หวั่นแล้งขยายวง พบ 240 อําเภอ 36 จังหวัด นอกเขตชลประทานเสี่ยงขาดน้ํา


เมื่อวันที่ 13 ก.ค.2562 นายสมเกียรติ ประจําวงษ์ เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝน ภาพรวมของประเทศขณะนีปริมาณฝนตกลดลงตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา และสสน.คาดการณ์ เว้นในภาคเหนือตอนบน ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคใต้ตอนล่าง ที่ยังคงมีการกระจายของฝนมากกว่าบริเวณอื่นๆ โดยคาดการณ์วันนี้ฝนตก หนักบริเวณ จ.แม่ฮ่องสอน จ.ตาก จ.น่าน และ จ.พะเยา ในช่วงวันที่ 13 – 15 ก.ค. 62 ประเทศไทยมีปริมาณฝนน้อย กับมีฝน หนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ อย่างไรก็ตาม สทนช.ยังคงติดตามปริมาณฝนสะสม 15 วัน ที่มีปริมาณฝน ตกน้อย เพื่อวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําและเฝ้าระวังสถานการณ์แล้ง เพื่อชี้เป้าหมายพื้นที่เสี่ยงให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องดําเนินการเฝ้าระวังและเตรียมการรับมือนั้น ล่าสุดพบว่า มีพื้นที่ฝนตกในปริมาณน้อย จํานวน 240 อําเภอ 36 จังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 105 อ้าเภอ 12 จังหวัด ภาคเหนือ 61 อ้าเภอ 11 จังหวัด ภาคใต้ 70 อ้าเภอ 9 จังหวัด ภาคตะวันออก 2 อ้าเภอ 2 จังหวัด ภาคกลาง 1 อ้าเภอ 1 จังหวัด และภาคตะวันตก 1 อ้าเภอ 1 จังหวัด ตามลําดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ส่งผลทําให้ความเสี่ยงขาดแคลนน้ําในพื้นที่นอกเขตชลประทานอาจจะขยายวงกว้างได้

อย่างไรก็ตาม การดําเนินการในช่วงที่ผ่านมา สทนช.ได้เตรียมความพร้อมแผนรับมือป้องกันการขาดแคลนน้ํา โดยมีหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับสถานการณ์ในแหล่งน้ําทั่วประเทศ รวมถึงพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําที่วิเคราะห์ จากปริมาณฝนตกน้อยสะสมต่อเนื่องให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้ 5 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และกระทรวงพลังงาน พิจารณาแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ําฤดูแล้งปี 2561/62 และแผนการจัดสรร น้ําให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและปรากฏการณ์เอลนีโญกําลังอ่อน วิเคราะห์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ํานอกพื้นที่ชลประทาน พื้นที่เสี่ยงการเกษตรที่เพาะปลูกเป็นแผน และบัญชีแหล่งน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางที่มีปริมาณน้ําน้อยกว่า 3,096 เพื่อใช้วางแผนรับมือเชิงป้องกันกําหนดมาตรการประหยัดน้ํา และเพิ่มปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อเร่งเก็บกัก น้ําไว้สําหรับการใช้น้ําในฤดูแล้งถัดไป รวมถึงดําเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วน อาทิ การปฏิบัติฝนหลวง การหาแหล่งน้ําสํารองจากการปรับปรุงสร้างทํานบหรือฝายชั่วคราวยกระดับน้ําในลําน้ํา เพื่อให้สามารถสูบน้ําได้ หรือนําน้ํามาจากแหล่งน้ําอื่น รวมถึงเจาะบ่อบาดาลเพื่อป้องกันกระทบจากการขาดแคลนน้ําเพื่ออุปโภค-บริโภคของประชาชน

“ ภายในวันที่ 18 ก.ค. นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแจ้งข้อมูลผลการวิเคราะห์น้ําที่ไหลเข้าอ่างโดยใช้คาดการณ์ ฝนใหม่ สภาพฝนที่ผ่านมาและคาดการณ์ในช่วงฤดูฝนที่เหลือ (15 ก.ค.- 30 ต.ค.62) การตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกฤดูฝน การทบทวนการคาดการณ์ปริมาณน้ําที่ไหลเข้าแหล่งน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาค อีสาน ในช่วงครึ่งหลังของฤดูฝน เนื่องจากพบว่าฝนที่ตกในครึ่งแรกของฤดูฝน มีปริมาณน้อยกว่าที่คาดการณ์และน้อยกว่า ค่าปกติ พร้อมปรับแผนการระบายน้ําให้สอดคล้องกับพื้นที่เพาะปลูกและน้ําต้นทุน รวมทั้งให้ทบทวนการคาดการณ์ ปริมาณน้ําต้นทุนแหล่งน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลาง เมื่อสิ้นสุดฤดูฝนอีกครั้งเพื่อประเมินปริมาณน้ําให้สามารถวางแผน จัดสรรน้ําให้กับภาคส่วนต่างๆ ในฤดูแล้งปี’62-63 ด้วย ซึ่ง สทนช. จะสรุปเสนอในการประชุมคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําที่จะจัดขึ้นในช่วงก่อนปลายเดือนก.ค.นี้” นายสมเกียรติ กล่าว

ขณะเดียวกัน สทนช.ยังได้สั่งการให้สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติภาค และเลขานุการลุ่มน้ํา ลงพื้นที่จังหวัดที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ําทุกจังหวัดภายในต้นสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป โดยเฉพาะ จ.สุรินทร์ และจ.บุรีรัมย์ เพื่อหารือกับ ทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินสถานการณ์ หากคาดว่าจะรุนแรงขึ้นหรือขยายพื้นที่ สทนช.จะพิจารณาเชิญ ผู้เกี่ยวข้องประชุมในพื้นที่โดยด่วน เพื่อกําหนดแนวทางมาตรการ แผนฏิบัติการอย่างชัดเจน โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงขาด แคลนน้ําอุปโภค-บริโภค ที่ต้องเตรียมแผนรองรับในการหาแหล่งน้ําสํารองให้กับประชาชน พร้อมบูรณาการหน่วยงานเกี่ยวข้องไม่ให้ผลกระทบแล้งในช่วงฤดูฝนขยายวงกว้าง เพื่อสรุปรายงานต่อ กนช.ด้วยเช่นกัน ซึ่งเบื้องต้นในวันจันทร์ที่15 ก.ค.นี้ เวลา 10.00 น. สทนช.ภาค3 และเลขาฯ ลุ่มน้ํามูล กําหนดจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ณ ศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สถานการณ์น้ําในแหล่งน้ําต้นทุนรวมของทั้งประเทศอยู่ที่ 39,431 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 49% โดยแหล่งที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากมีปริมาตรน้ําน้อยกว่า 30% แบ่งเป็น แหล่งน้ําขนาดใหญ่ 15 แห่ง ได้แก่ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนห้วยหลวง เขื่อนน้ําพุง เขื่อนลําปาว เขื่อนลําพระเพลิง เชื่อนลํานางรอง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนกระเสียว เขื่อนทับเสลา เขื่อนขุนด่านปราการชล เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนแควน้อยบํารุงแดน เขื่อนนฤบดินทรจินดา เขื่อนคลองสียัด และบึงบอระเพ็ด รวมถึงแหล่งน้ําขนาดกลาง 136 แห่ง แยกเป็น ภาคเหนือ 15 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 96 แห่ง ภาคตะวันออก 9 แห่ง ภาคกลาง 11 แห่ง ภาคตะวันตก 2 แห่ง และภาคใต้ 3 แห่ง โดยปัจจุบันคงเหลือพื้นที่ประกาศภัยแล้ง ปัจจุบันคงมี 2 จังหวัด คือ ตาก มหาสารคาม จํานวน 4 อําเภอ 24 ตําบล 171 หมู่บ้าน