-commerceEconomics

สคต.เปิดตลาดเจรจาธุรกิจออนไลน์ “ข้าว-ผลไม้ไทย”พุ่งฉลุย โกยยอดขายกว่าพันล้าน

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ได้จัดการเจรจาการค้าออนไลน์ตามที่กรมฯ ได้มอบนโยบายให้ดำเนินการในช่วงสถานการณ์โควิด-19 กันอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา สคต.พริทอเรีย ได้จัดการเจรจาการค้าออนไลน์สินค้าอาหาร และข้าว ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สามารถตกลงซื้อขายได้มูลค่ากว่า 31 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 960 ล้านบาท

สำหรับผลการเจรจาในกลุ่มสินค้าอาหาร สคต.พริทอเรีย ได้เชิญผู้นำเข้า 4 รายจากประเทศโมซัมบิก มอริเชียส และแอฟริกาใต้ มาเจรจาซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยบริษัท COGEF Group กลุ่มซุปเปอร์มาร์เก็ตเครือดูไบในโมซัมบิกและในประเทศต่างๆ ในทวีปแอฟริกา ที่รู้จักกันดีในนาม Jumbo Hyper Market เป็นผู้นำเข้าหลักที่จะมีคำสั่งซื้อสูง 5 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยกลุ่มเกาหลีในแอฟริกาใต้ Wemaco เจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ต Kokoro สั่งซื้ออาหารครั้งนี้อีก 50,000 เหรียญสหรัฐ

ส่วนสินค้าข้าว มีผลการเจรจาออนไลน์ 5 บริษัท 3 ประเทศ ได้แก่ แอฟริกาใต้ มอริเชียส และโมซัมบิก เฉลี่ยประมาณ 26 ล้านเหรียญ ดังนี้ 1.COGEF Groupโมซัมบิก จะสั่งซื้อข้าวเก่า 5% และหอมมะลิ มูลค่า 25 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นอยู่กับเจรจาราคาถ้าตกลงกันได้ 2.Century Trading มอริเชียส ขอดูราคาก่อน 3.STI Investment แอฟริกาใต้ ขอสำรวจราคา 4.WEMACO แอฟริกาใต้ จะสั่งซื้อข้าวมูลค่า 25,000 เหรียญสหรัฐ และ 5.Monteagle แอฟริกาใต้ จะนำเข้าข้าวนึ่ง และหอมมะลิ ปริมาณ 300 ตัน/เดือน

นายอภิรักษ์ แพพ่วง ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพริทอเรีย แอฟริกาใต้ กล่าวว่า สำนักงานฯ ได้ดำเนินการจัดเจรจาการค้าออนไลน์ในกลุ่มสินค้าอาหารทะเลอีกครั้งเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563 ซึ่งนอกจากจะมี 2 กลุ่มที่เคยซื้อสินค้าอาหารและข้าวแล้ว ยังจะมี Hyper Market รายใหญ่ของแอฟริกาใต้ Food Lovers เข้าร่วมด้วย โดยมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน เนื่องจากสินค้าอาหารทะเลของไทย เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในตลาดแอฟริกาใต้เป็นอย่างดีโดยจะติดตามผลการเจรจาอีกครั้ง

ทั้งนี้ การค้าระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้ในช่วง 4 เดือนของปี 2563 (มกราคม-เมษายน) มีมูลค่าการค้ารวม 874.91 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 21.27% เป็นการส่งออกมูลค่า 703.92 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 21.64% และนำเข้ามูลค่า 170.99 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 19.67%

โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทย 10 อันดับแรกไปแอฟริกาใต้ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบ ข้าว ผลิตภัณฑ์ยาง เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง เคมีภัณฑ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เม็ดพลาสติก และของเบ็ดเตล็ดทำด้วยโลหะสามัญ และสินค้านำเข้า 10 อันดับแรก ได้แก่ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ ยุทธปัจจัย เครื่องดื่มประเภทน้ำแร่ น้ำอัดลมและสุรา กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้

นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ยังโชว์ผลจัดโครงการเจรจาธุรกิจออนไลน์สินค้าผลไม้ ผลไม้แปรรูป อาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงเจาะตลาดเกาหลี ประสบความสำเร็จตามเป้า มีการเจรจาทำธุรกิจรวม 24 คู่ คาดเกิดมูลค่าซื้อขายกว่า 495 ล้านบาท โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงโซล ได้จัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ไปแล้ว 2 ครั้ง ในกลุ่มสินค้าผลไม้ ผลไม้แปรรูป อาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง คาดว่าจะมีการซื้อขายกันกว่า 495 ล้านบาท

สำหรับผลการจัดเจรจาธุรกิจครั้งแรก เป็นการมุ่งจำหน่ายผลไม้ โดยผู้ซื้อ คือ JooA Mango และ JALE Mango ได้เจรจาธุรกิจกับผู้ส่งออกไทยจำนวน 10 ราย สามารถตกลงซื้อมะม่วงมูลค่า 488,700,000 บาท/ปี และครั้งที่ 2 เป็นการจัดเจรจาธุรกิจสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ผลไม้ ผลไม้แปรรูป อาหารและเครื่องดื่ม โดยผู้ซื้อ คือ Lotte Mart ได้เจรจาธุรกิจกับผู้ส่งออกไทย 14 ราย คาดว่าจะมีการซื้อขายได้ประมาณ 7,336,155 บาท

สคต. ณ กรุงโซล แจ้งด้วยว่า กำลังอยู่ระหว่างผลักดันการเจรจาธุรกิจในสินค้ากลุ่มอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ โดยได้มีการนัดหมายให้ Mando Corporation ซึ่งเป็นผู้ผลิตและผู้นำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์รายสำคัญของเกาหลี ได้มีโอกาสแจ้งความต้องการสินค้ากับผู้ส่งออกของไทยจำนวน 10 บริษัท และกำลังติดตามให้มีการเจรจาธุรกิจทางออนไลน์ เพื่อผลักดันการส่งออกต่อไป เพราะผู้ซื้อของเกาหลี ปัจจุบันมีปัญหาเรื่องซัพพลายเชน (Supply Chain) ที่นำเข้าจากจีนและอินเดีย หลังจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 จึงเป็นโอกาสของผู้ส่งออกไทย

น.ส.วิลาสินี โนนศรีชัย ผู้อำนวยการ สคต ณ กรุงโชล กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานฯ กำลังอยู่ระหว่างการจัดเตรียมกิจกรรมเจรจาการค้าออนไลน์ในช่วงเดือนมิถุนายน 2563 เพิ่มเติมอีก 3 โครงการ คือ การจัดเจรจาการค้าออนไลน์ระหว่างบริษัท Winning Corp ซึ่งเป็นผู้นำเข้าสินค้า สำหรับจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ GS25 กับผู้ส่งออกของไทย เน้นสินค้ากลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยว และในวันที่ 26 มิถุนายน 2563 จะจัดกิจกรรมเจรจาการค้าออนไลน์ระหว่างบริษัท Telcom ซึ่งเป็นเทรดดิ้งนำเข้าสินค้าหลายชนิด เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ และเซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น กับผู้ส่งออกของไทย คาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน และล่าสุด

สคต.ณ กรุงโซล ได้รับการติดต่อจากผู้นำเข้าผลไม้รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเกาหลี บริษัท Sky International มีความต้องการเจรจากับผู้ส่งออกผลไม้ไทย โดยต้องการนำเข้าทุเรียนจากไทย จำนวน 10,000 กล่อง หรือ ประมาณ 100 ตัน คิดเป็นมูลค่า 38.5 ล้านบาท ทั้งนี้ สคต.ณ กรุงโซล ร่วมกับสำนักตลาดพาณิชย์ดิจิทัล กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ดำเนินการจัดเจรจาการค้าออนไลน์ในวันที่ 26 มิถุนายน 2563 ด้วยเช่นกัน

ทางด้านแนวโน้มการค้าในตลาดเกาหลี หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คาดว่า ช่องทางออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น ซึ่งสำนักงานฯ จะเดินหน้าขยายโอกาสทางการตลาดให้กับสินค้าไทยผ่านช่องทางออนไลน์ต่อไป โดยจะร่วมมือกับแพลตฟอร์มชื่อดัง เช่น คูปัง (Coupang), วีเมคไพรซ์ (WemakePrice), เนเว่อร์ (Naver) และ อีเลเว่นสตรีท (11st Street) เป็นต้น โดยสินค้าที่มีโอกาส เช่น อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่ม และขนมขบเคี้ยว เป็นต้น