+Local-newssouthern-news

กษ.ตั้งกก.ศึกษาอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่ว

กรณีกรมชลประทานขับเคลื่อนก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านเหมืองตะกั่ว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่ ต.หนองธง อ.ป่าบอน จ.พัทลุง เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง พื้นที่ 468 ไร่ มีทำนบดินสูง 48 เมตร ยาว 474 เมตร มีความจุน้ำ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้งบประมาณผูกพันในระหว่างปี 2564-2566 เป็นเงิน 675 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนในช่วงหน้าแล้งในพื้นที่ ต.หนองธง สามารถส่งน้ำไปช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงหน้าแล้งได้มากกว่า 7,500 ไร่ จำนวน 2,090 ครัวเรือน มากกว่า 7,700 คน โดยได้รับความเห็นชอบด้วยเสียงท่วมท้นจากคนในพื้นที่ ต.หนองธง

ต่อมามีชาวบ้านอีกกลุ่มออกมาคัดค้านการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำดังกล่าว และเดินทางเข้ายื่นหนังสือคัดค้านต่อนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ขณะที่กลุ่มชาวบ้านเสียงส่วนใหญ่ก็ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี รมว.เกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลได้ดำเนินงานการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่ว อันเนื่องมาจากพระราชดำริเช่นกัน นั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าว จ.พัทลุง รายงานว่าล่าสุด นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีคำสั่งกระทรวงเกษตรฯ ที่ 2/2563 ลงวันที่ 3 ก.ย. 2563 แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริง โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบ้านเหมืองตะกั่ว เนื่องจากปรากฏว่ามีราษฎรกลุ่มเครือข่ายรักษ์โตนสะตอ จ.พัทลุง ขอให้พิจารณาข้อเท็จจริงโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าการดำเนินงานโครงการดังกล่าวนี้ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกลุ่มผู้คัดค้านเห็นว่าสมควรศึกษาแนวทางดำเนินการบริหารจัดการน้ำ โดยให้มีผลกระทบกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เพื่อให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงสำรับประกอบการพิจารณาในการแก้ไขปัญหาและสร้างความเข้าใจแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในการดำเนินงานโครงการดังกล่าว

ดังนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 และแก้ไขเพิ่มเติม จึงแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริง และแนวทางการบริหารจัดการน้ำโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านเหมืองตะกั่ว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผวจ.พัทลุง เป็นประธานกรรมการ และให้รายงานผลกาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ รมว.เกษตรฯได้รับทราบภายใน 60 วัน